หลวงปู่ปัญญา ปัญญาธโร พระเกจิ 5แผ่นดิน-ชลบุรี
"หลวงปู่ปัญญา ปัญญาธโร" เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังชลบุรี เชี่ยว ชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือทั่วสารทิศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิเรืองวิทยาคมด้านแคล้วคลาด เมตตามหานิยม การเสริมต่อเส้นวาสนา
สืบสานวิทยาคมจากพระเกจิดังหลายรูปภาคอีสาน รวมไปถึงพระเกจิทางฝั่งประ เทศลาว อีกทั้งท่านยังเป็นสหธรรมิก หลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย พระเกจิชื่อดังเมืองอุบลราชธานีด้วย
เกียรติคุณด้านมงคลปูชนียวัตถุที่สร้างชื่อให้หลวงปู่ปัญญา คือ เหรียญต่อเส้นวาสนา เหรียญใบมะขามรูปฤๅษี ตะกรุดสาริกาแดง เป็นต้น
หลวงปู่ปัญญาบำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น
ปัจจุบัน หลวงปู่ปัญญา สิริอายุ 106 พรรษา 66 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองผักหนาม อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
อัตโนประวัติ มีนามเดิม ปัญญา พลราษฎร์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม 2448 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ร.ศ.124 ตรงกับรัชสมัยของพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ ต.ตะบ่าย อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อช่วงวัยเยาว์ เข้าเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน โดยมีครูที่สอนเป็นทั้งพระและฆราวาส จนกระทั่งจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากนั้นอายุ 12 ปี ได้ออกมาช่วยครอบ ครัวทำนาทำไร่
จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี ได้พบรักกับสาวในหมู่บ้าน แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงมีข้อแม้ว่าจะต้องให้ฝ่ายชายออกบวชตามประ เพณีเพื่อให้เป็นคนสุกครบ 3 ปีก่อน ได้รับทราบดังนั้น ท่านจึงไม่รอช้า ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดตะบ่าย ต.ตะบ่าย อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและศึกษาด้านการก่อสร้างเสนาสนะภายในวัด จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาย์
ในพรรษาที่ 2 ท่านได้หันมาสนใจในด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐาน จึงเดินทางเสาะแสวงหาพระอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยว ชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ในห้วงดังกล่าว เป็นเวลาที่กองทัพธรรมฝ่ายวิปัสสนาจารย์กำลังเผยแผ่ธรรมอยู่ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนยิ่ง คือ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่ปัญญาในวัยหนุ่มจึงได้เดินทางไปกราบพระอาจารย์มั่น เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียนกัมมัฏฐาน แต่การเดินทางในสมัยนั้นต้องใช้การเดินเท้าเพียงอย่างเดียว เมื่อทราบว่าพระอาจารย์มั่นเดินทางไปจำพรรษา ที่ใด ท่านก็จะเดินทางไปสถานที่แห่งนั้น แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงสถานที่นั้นๆ จะได้ทราบจากพระภิกษุในท้องที่แจ้งว่าพระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว เป็นเช่นนี้ถึง 5-6 ครั้ง
ท่านจึงดำริว่า คงเป็นด้วยตนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ บวชพระเพียงเพื่อต้องการแต่งงานกับหญิงสาวที่หมายปองเท่านั้น ไม่ได้บวชเพราะเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ระลึกได้ดังนี้ ท่านจึงล้มเลิกติดตามพระอาจารย์มั่นเพื่อขอศึกษากัมมัฏฐาน ออกเดินทางกลับวัดตะบ่ายทันที
พรรษาที่ 3 พระปัญญาได้ใช้เวลาเดินทางไปท่องธุดงค์ในป่าดงพงไพร ได้มีโอกาสพบ หลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย ที่มีความสนใจด้านวิทยาคม
จึงได้ขอศึกษาการเขียนอักขระทั้งภาษาขอม ภาษาล้านนา ภาษาธรรมะ นอกจากนี้ ยังได้เดินทางข้ามไปฝั่งลาว ได้กราบฝากตัวกับพระเกจิดังฝั่งลาวหลายรูป เพื่อขอศึกษาวิทยาคม จนมีความชำนาญในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้น ท่านเดินทางกลับวัด เมื่อออกพรรษาที่ 3 รับผ้ากฐินแล้วได้ลาสิกขาทันที
เมื่อกลับคืนสู่เพศฆราวาส ทิดปัญญาได้เดินทางไปยังบ้านสาวคนรัก แต่ครั้นเมื่อไปถึงพบว่าพ่อแม่ของหญิงสาวได้จัดงานแต่ง งานสาวคนรักกับชายหนุ่มในหมู่บ้านอีก คนไปแล้ว
ทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่รู้จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ทิดปัญญาได้แต่กล้ำกลืนความเสียใจไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว จากนั้นท่านได้เดินทางออกจากหมู่บ้านเงียบๆ เนื่องจากกระทบกระเทือนจิตใจ โดยออกท่องเที่ยวไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองไปตามยถากรรม
กระทั่งเดินทางมาอยู่ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ขณะนั้นอายุครบ 40 ปี จึงตัดสินใจละเพศฆราวาสคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ได้เข้าพิธีอุปสมบทใหม่ เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหมอสมพงษ์ เนื่องจำนงค์ แพทย์แผนโบราณในอำเภอบ้านบึง รับเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2488 ที่วัดบึงบวรสถิตย์ มีพระครูประภัศร์พุทธิคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระใบฎีกาฮง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุรินทร์ พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ปัญญาธโร
แต่ศิษยานุศิษย์เข้าใจผิดเขียนว่า "ปัญญธโร"
หลังจากที่อุปสมบท พระปัญญาอยู่คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ตามหน้า ที่ อยู่จำพรรษาที่วัดบึงบวรสถิตย์เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดหนองผักหนามราษฎร์บำรุง ต.หนองใหญ่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
ซึ่งที่วัดหนองผักหนามราษฎร์บำรุง ในขณะนั้นมีพระอธิการเทียบ รตโน เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมา พระอธิการเทียบได้มรณภาพ หลวงปู่ปัญญาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน
หลวงปู่ปัญญาได้นำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมตามที่ได้เล่าเรียน จัดสร้างวัตถุมงคล โดยเฉพาะเหรียญต่อเส้นวาสนา ที่หลวงปู่ได้เขียนเป็นรูปลายมือที่มีเส้นสมบูรณ์พร้อมอักขระขอมล้อมรอบ เรียกว่า "ลายมือพระโพธิสัตว์" เสริมดวงชะตา กลับจากร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ
ความโด่งดังของวัตถุมงคลหลากหลายชนิด กอปรกับวัตรปฏิบัติ ทำให้ญาติโยมศรัทธาเลื่อมใส เป็นที่มาของการยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
แม้จะได้รับการยกย่องเช่นนั้น แต่หลวงปู่ปัญญายังคงดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย ยึดหลักธรรมเป็นที่ยึดเหนี่ยว พร้อมกับหมั่นสวดมนต์ภาวนาทำจิตสมาธิให้มั่นและแน่วแน่ นึกถึงครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนมา
เป็นพระเถระที่น่าเลื่อมใสศรัทธาและน่ากราบไหว้ได้อย่างสนิทใจอีกรูป
เนื่องจากเป็นผู้เจริญอายุยืนถึง 106 ปีแล้ว จึงถือเป็นพระเกจิรัตตัญญูผู้รู้โลกมาถึง 5 แผ่นดิน
สืบสานวิทยาคมจากพระเกจิดังหลายรูปภาคอีสาน รวมไปถึงพระเกจิทางฝั่งประ เทศลาว อีกทั้งท่านยังเป็นสหธรรมิก หลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย พระเกจิชื่อดังเมืองอุบลราชธานีด้วย
เกียรติคุณด้านมงคลปูชนียวัตถุที่สร้างชื่อให้หลวงปู่ปัญญา คือ เหรียญต่อเส้นวาสนา เหรียญใบมะขามรูปฤๅษี ตะกรุดสาริกาแดง เป็นต้น
หลวงปู่ปัญญาบำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงามเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น
ปัจจุบัน หลวงปู่ปัญญา สิริอายุ 106 พรรษา 66 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองผักหนาม อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
อัตโนประวัติ มีนามเดิม ปัญญา พลราษฎร์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม 2448 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ร.ศ.124 ตรงกับรัชสมัยของพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ ต.ตะบ่าย อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อช่วงวัยเยาว์ เข้าเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน โดยมีครูที่สอนเป็นทั้งพระและฆราวาส จนกระทั่งจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากนั้นอายุ 12 ปี ได้ออกมาช่วยครอบ ครัวทำนาทำไร่
จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี ได้พบรักกับสาวในหมู่บ้าน แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงมีข้อแม้ว่าจะต้องให้ฝ่ายชายออกบวชตามประ เพณีเพื่อให้เป็นคนสุกครบ 3 ปีก่อน ได้รับทราบดังนั้น ท่านจึงไม่รอช้า ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดตะบ่าย ต.ตะบ่าย อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและศึกษาด้านการก่อสร้างเสนาสนะภายในวัด จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาย์
ในพรรษาที่ 2 ท่านได้หันมาสนใจในด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐาน จึงเดินทางเสาะแสวงหาพระอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยว ชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ในห้วงดังกล่าว เป็นเวลาที่กองทัพธรรมฝ่ายวิปัสสนาจารย์กำลังเผยแผ่ธรรมอยู่ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนยิ่ง คือ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่ปัญญาในวัยหนุ่มจึงได้เดินทางไปกราบพระอาจารย์มั่น เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียนกัมมัฏฐาน แต่การเดินทางในสมัยนั้นต้องใช้การเดินเท้าเพียงอย่างเดียว เมื่อทราบว่าพระอาจารย์มั่นเดินทางไปจำพรรษา ที่ใด ท่านก็จะเดินทางไปสถานที่แห่งนั้น แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงสถานที่นั้นๆ จะได้ทราบจากพระภิกษุในท้องที่แจ้งว่าพระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว เป็นเช่นนี้ถึง 5-6 ครั้ง
ท่านจึงดำริว่า คงเป็นด้วยตนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ บวชพระเพียงเพื่อต้องการแต่งงานกับหญิงสาวที่หมายปองเท่านั้น ไม่ได้บวชเพราะเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ระลึกได้ดังนี้ ท่านจึงล้มเลิกติดตามพระอาจารย์มั่นเพื่อขอศึกษากัมมัฏฐาน ออกเดินทางกลับวัดตะบ่ายทันที
พรรษาที่ 3 พระปัญญาได้ใช้เวลาเดินทางไปท่องธุดงค์ในป่าดงพงไพร ได้มีโอกาสพบ หลวงปู่พรหมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย ที่มีความสนใจด้านวิทยาคม
จึงได้ขอศึกษาการเขียนอักขระทั้งภาษาขอม ภาษาล้านนา ภาษาธรรมะ นอกจากนี้ ยังได้เดินทางข้ามไปฝั่งลาว ได้กราบฝากตัวกับพระเกจิดังฝั่งลาวหลายรูป เพื่อขอศึกษาวิทยาคม จนมีความชำนาญในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้น ท่านเดินทางกลับวัด เมื่อออกพรรษาที่ 3 รับผ้ากฐินแล้วได้ลาสิกขาทันที
เมื่อกลับคืนสู่เพศฆราวาส ทิดปัญญาได้เดินทางไปยังบ้านสาวคนรัก แต่ครั้นเมื่อไปถึงพบว่าพ่อแม่ของหญิงสาวได้จัดงานแต่ง งานสาวคนรักกับชายหนุ่มในหมู่บ้านอีก คนไปแล้ว
ทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่รู้จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ทิดปัญญาได้แต่กล้ำกลืนความเสียใจไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว จากนั้นท่านได้เดินทางออกจากหมู่บ้านเงียบๆ เนื่องจากกระทบกระเทือนจิตใจ โดยออกท่องเที่ยวไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองไปตามยถากรรม
กระทั่งเดินทางมาอยู่ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ขณะนั้นอายุครบ 40 ปี จึงตัดสินใจละเพศฆราวาสคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ได้เข้าพิธีอุปสมบทใหม่ เป็นครั้งที่ 2 โดยมีหมอสมพงษ์ เนื่องจำนงค์ แพทย์แผนโบราณในอำเภอบ้านบึง รับเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2488 ที่วัดบึงบวรสถิตย์ มีพระครูประภัศร์พุทธิคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระใบฎีกาฮง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุรินทร์ พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ปัญญาธโร
แต่ศิษยานุศิษย์เข้าใจผิดเขียนว่า "ปัญญธโร"
หลังจากที่อุปสมบท พระปัญญาอยู่คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ตามหน้า ที่ อยู่จำพรรษาที่วัดบึงบวรสถิตย์เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดหนองผักหนามราษฎร์บำรุง ต.หนองใหญ่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
ซึ่งที่วัดหนองผักหนามราษฎร์บำรุง ในขณะนั้นมีพระอธิการเทียบ รตโน เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมา พระอธิการเทียบได้มรณภาพ หลวงปู่ปัญญาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน
หลวงปู่ปัญญาได้นำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมตามที่ได้เล่าเรียน จัดสร้างวัตถุมงคล โดยเฉพาะเหรียญต่อเส้นวาสนา ที่หลวงปู่ได้เขียนเป็นรูปลายมือที่มีเส้นสมบูรณ์พร้อมอักขระขอมล้อมรอบ เรียกว่า "ลายมือพระโพธิสัตว์" เสริมดวงชะตา กลับจากร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ
ความโด่งดังของวัตถุมงคลหลากหลายชนิด กอปรกับวัตรปฏิบัติ ทำให้ญาติโยมศรัทธาเลื่อมใส เป็นที่มาของการยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
แม้จะได้รับการยกย่องเช่นนั้น แต่หลวงปู่ปัญญายังคงดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย ยึดหลักธรรมเป็นที่ยึดเหนี่ยว พร้อมกับหมั่นสวดมนต์ภาวนาทำจิตสมาธิให้มั่นและแน่วแน่ นึกถึงครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนมา
เป็นพระเถระที่น่าเลื่อมใสศรัทธาและน่ากราบไหว้ได้อย่างสนิทใจอีกรูป
เนื่องจากเป็นผู้เจริญอายุยืนถึง 106 ปีแล้ว จึงถือเป็นพระเกจิรัตตัญญูผู้รู้โลกมาถึง 5 แผ่นดิน